เคยได้ยินไหมที่สาว ๆ เตือนกันเองว่า “ไม่ต้องใส่บราหรือเสื้อชั้นในเวลานอน เพราะเดี๋ยวจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านม” แล้วคุณรู้ไหมคะว่าทำไมการใส่เสื้อชั้นในตอนนอนถึงทำให้เป็นมะเร็งเต้านมได้ วันนี้กระปุกดอทคอมมาไขความสงสัยให้ได้ทราบกันค่ะ

ในปี 1995 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมาว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการใส่บรากับความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “Dressed to Kill” โดยสองนักวิจัยชาวอเมริกัน ซิดนีย์ รอส ซิงเกอร์ และ โซม่า กริสมายเจอร์ กับผลการวิจัยที่สรุปออกมาอย่างน่าตกใจว่า ผู้หญิงที่ใส่บรานานเกินวันละ 12 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงกลุ่มที่ไม่นิยมใส่เสื้อชั้นในนาน ๆ

Basil gets saucy with oranges in his bra

อันตรายจากการใส่ชุดชั้นในนอน

งานวิจัยของทั้งสอง ได้ทำการสำรวจจากหญิงอเมริกันราว 4,700 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นโรคมะเร็งเต้านม หลังจากได้สอบถามประวัติและพฤติกรรมการใส่เสื้อชั้นในจากคนทั้งสองกลุ่มแล้ว พบว่าสิ่งที่กลุ่มผู้เป็นโรคมะเร็งเต้านมมีเหมือน ๆ กัน คือ ใส่เสื้อชั้นในที่แน่นกระชับ และใส่เป็นจำนวนชั่วโมงที่ยาวนานถึงขนาดใส่แม้กระทั่งเวลานอน อันต่างจากพฤติกรรมของหญิงกลุ่มที่ไม่เป็นมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

แล้วการใส่เสื้อชั้นในด้วยชั่วโมงที่ยาวนาน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อการเป็นมะเร็งเต้านมอย่างไร? หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ว่า การใส่เสื้อชั้นในที่ยาวนาน ทำให้หน้าอกถูกบีบรัดกดทับอยู่ตลอด จนต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถระบายของเสียที่และสิ่งแปลกปลอมที่ดักจับได้ออกจากร่างกายไป โดยต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่ดักจับและทำลายเชื้อโรค ซึ่งมีทั้งแบคทีเรีย ไวรัส อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติ และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการให้แก่เนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกทั้งสองข้างนั้น อยู่บริเวณใต้รักแร้ เมื่อมีทางเดินน้ำเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยของเสียถูกกดทับด้วยความโอบกระชับของการใส่บราต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ของเหลวดังกล่าวจึงคั่งอยู่ในจุด ๆ เดียว ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำเหลือง เป็นซีสต์ และเกิดอาการปวดระบม รวมทั้งเป็นบ่อเกิดของเซลล์มะเร็ง เพราะเมื่อมีเสื้อชั้นในมากดทับ น้ำเหลืองซึ่งมีสารอนุมูลอิสระอันมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง คั่งค้างอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณเดียวกันเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่เต้านมได้นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนผลการวิจัยชิ้นนี้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวในแวดวงการแพทย์เท่านั้นที่ยืนยันว่าการสวมเสื้อชั้นในติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เกิน 12 ชั่วโมง จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น และยังไม่มีผลการวิจัยอื่น ๆ ที่ยืนยันความเชื่อมโยงเรื่องการใส่บรากับการเป็นมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม ฟังหูไว้หูเอาไว้ก่อนก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ ที่สำคัญการใส่เสื้อชั้นในยามนอนหลับพักผ่อนนี้น่าอึดอัดออกจะตายไป ถ้าอยู่กับบ้านหรือห้องหับที่มิดชิด จะปล่อยให้หน้าอกหน้าใจของเราเป็นอิสระบ้างก็ไม่เห็นเสียหายเนอะ ^^

ระวังภัยแฟชั่นใส่เสื้อผ้ารัดรูป

แฟชั่นรัดรูปทำให้ผิวแพ้ และติดเชื้อง่ายขึ้น (มติชน)
Dear-lover Breathtaking Close-fitting Mini Dress
แฟชั่นแต่งกายรัดรูปและนุ่งยีนส์ฟิตกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในไทยและในต่างประเทศ แม้ว่าแฟชั่นนี้จะทำให้ผู้สวมใส่ดูโดดเด่น แต่ก็อาจแฝงภัยไว้ด้วยเช่นกัน คือทำให้เกิดการแพ้เสื้อผ้า และผิวติดเชื้อง่ายขึ้น

เรื่องนี้นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนังเปิดเผยว่า แฟชั่นรัดรูปทำให้พบโรคผิวแพ้เสื้อผ้าบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีอากาศร้อนชื้นเช่นนี้ มักพบอาการเป็นผื่นแดงคันตามตำแหน่งที่สัมผัสเสียดสีกับเนื้อผ้า โดยพบว่าผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตและผูกเนคไทแน่น จะเป็นผื่นคันตามลำคอ ส่วนผู้หญิงที่สวมเสื้อแขนรัดจะพบผื่นตามด้านหน้าหรือด้านหลังของรักแร้ที่สัมผัสเสื้อผ้า เพราะการสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูปทำให้เกิดการเสียดสี ความร้อน ความชื้น และเหงื่อออกมาก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้เสื้อผ้ามากขึ้น

นอกจากนี้ยังพบว่า เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายบริสุทธิ์ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ แต่ผ้าฝ้ายบริสุทธิ์มักยับยู่ยี่ และหดง่ายจึงไม่เป็นที่นิยม ส่วนผ้าไหมนั้นก็ไม่ค่อยก่อให้เกิดการแพ้ ทั้งนี้ ประเภทของเนื้อผ้าที่ต้องระวังคือ ผ้าขนสัตว์และผ้าไนล่อน เพราะเนื้อผ้าขนสัตว์ทำให้ผิวหนังระคายเคืองและเกิดลมพิษ ส่วนผู้ที่ใส่เสื้อผ้าไนล่อนมักเกิดผดผื่นคัน เพราะเนื้อผ้าจะกันไม่ให้เหงื่อระเหย

การป้องกันการแพ้เสื้อผ้าคือ การซักล้างเสื้อผ้าอย่างสะอาด ต้องระวังไม่ให้มีผงซักฟอกตกค้างอยู่ หลังจากนั้นให้นำเสื้อผ้ามาผึ่งแดดจนแห้งสนิท และควรลดน้ำหนักตัว เพราะคนอ้วนเสื้อผ้าจะเสียดสีกับผิวหนังมาก นอกจากนี้แฟชั่นรัดรูปยังก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้บ่อย โดยพบว่า ผู้ที่นิยมสวมยีนส์รัดรูปอาจมีกลิ่นที่อวัยวะเพศด้วย เพราะเหงื่อระเหยได้ยาก และเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี จึงควรเลือกใช้เสื้อผ้าโปร่งบางและหลวม

คุณหมอประวิตร เสริมอีกว่า ในฤดูฝนเช่นนี้ยังทำให้เกิดโรคผิวหนังได้บ่อย คือ โรคน้ำกัดเท้า หรือเชื้อราที่เท้า มักเห็นเป็นผื่นเปียกยุ่ยสีขาวที่ง่ามนิ้วเท้า บางทีพบเป็นขุยที่ฝ่าเท้า โดยพบบ่อยในผู้ที่ต้องใส่ถุงเท้าประจำ เช่น นักกีฬา นักเรียน การใส่รองเท้าแตะบ้างจะช่วยป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าได้ เพราะเท้าจะได้แห้งบ้าง ทั้งนี้ การติดเชื้อราที่เท้าอาจร่วมกับการเป็นเชื้อราที่ขาหนีบ หรือที่เรียกว่าสังคัง

การป้องกันโรคเชื้อราที่ขาหนีบคือ ไม่ควรสวมใส่กางเกงที่หนาโดยเฉพาะยีนส์รัดรูป และในหน้าฝนผ้ายีนส์จะแห้งยากมาก การย่ำน้ำเฉอะแฉะ นอกจากเท้าจะติดเชื้อราได้ง่ายแล้ว ยังอาจติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ ที่เท้า เวลาถอดถุงเท้าจะรู้สึกว่าถุงเท้าติดกับฝ่าเท้า และเท้าจะเหม็นมาก จึงอาจเรียกว่าโรคเท้าเหม็น ศัพท์แพทย์เรียกว่า pitted keratolysis

การป้องกันเชื้อราที่เท้าและโรคเท้าเหม็นนั้น คือ ไม่ควรสวมรองเท้าถุงเท้าที่หนาและคับเกินไป หลังไปย่ำน้ำสกปรกมาควรล้างเท้าด้วยสบู่ และน้ำเปล่าจนสะอาด และซับเท้าให้แห้ง อาจใช้พัดลมเป่า หรือใช้แป้งโรย และต้องทำความสะอาดถุงเท้าและตากรองเท้าให้แห้งสนิท
Dear-lover Love Yourself Fashion Mini Dress

ขอบคุณ Sanook.com

มาดูแลรักษาเท้าในช่วงหน้าฝนกันเถอะ

under rain

เรามี 5 วิธีดูแลเท้าของคุณในช่วงหน้าฝนมานำเสนอ ดังนี้

1. สิ่งของที่เปียกน้ำ ได้แก่ รองเท้า พรมรถยนต์ เบาะรถยนต์ ควรนำไปตากแดด ให้แห้งสนิท เพื่อขจัดความชื้น รวมถึงเป็นการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจติดค้าง อยู่ในสิ่งของดังกล่าวให้หมดไป

2. ขณะเดินอยู่ในน้ำ เราควรยกเท้าเหนือน้ำเมื่อต้องการจะก้าวเท้าต่อไป ไม่ควรก้าวเท้าโดยให้เท้าอยู่ใต้น้ำ เพราะการกระทำเช่นนี้จะทำให้เดินช้าลง และใช้เวลาลุยน้ำนานขึ้น โดยได้ระยะทางน้อย

3. ถ้ามีอาการคันบริเวณผิวหนังซึ่งจุ่มน้ำ แสดงว่าผิวหนังได้รับการระคายเคืองมากจากสิ่งปฏิกูลในน้ำ ควรทายาแก้คัน เช่น คาลาไมน์ หรือครีมแก้คัน อื่นๆ เช่น ไทรแอมซิโนโลน

4. ไม่ควรเดินเท้าเปล่า เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บหรือ เป็นแผลบริเวณเท้าเนื่องจากถูกแก้วบาด หรือตอไม้ทิ่มตำ และเมื่อมีบาดแผลดังกล่าวแล้วยังเดินย่ำน้ำต่อจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อ สูงขึ้นไปอีก ควรใส่ถุงเท้าแทน

5. เมื่อพ้นเขตน้ำท่วมแล้ว ต้องรีบหาน้ำสะอาดล้างเท้าในทันที โดยใช้น้ำสะอาดให้มากพอ ถูสบู่บริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับน้ำ เน้นตรงซอกเท้า ซอกเล็บด้วย บริเวณซอกเล็บควรใช้ แปรงอ่อนๆ จุ่มสบู่เล็กน้อยและถูเบาๆ ทำให้เชื้อโรคหรือไข่พยาธิต่างๆ หลุดออกไปได้หมด หรือจะแช่เท้าในอ่างบรรจุน้ำสะอาดสัก 15-30 นาที แล้วเช็ดเท้าให้แห้ง อาจใช้แป้งฝุ่นโรยสัก เล็กน้อยเพื่อเป็นการหล่อลื่นผิวหนัง

Socks Around The world แฟชั่นถุงเท้าจากมุมต่างๆของโลก

แน่นอนว่าถุงเท้าเป็นสิ่งที่ทุกประเทศจะต้องใส่กัน โดยเฉพาะในการแต่งตัวนั้น ถุงเท้าถือว่าเป็นเครื่องประดับที่สำคัญอีกชิ้นนึงที่จะดึงความโดดเด่นของคุณขึ้นมา เราลองไปดูดีกว่าว่าวัยรุ่นของแต่ละประเทศเขาใส่ถุงเท้าแฟชั่นกันแบบไหนบ้าง
Stripe SocksSocks
Socks Ethos
´my socks DO match, they´re have the same thickness`
Sock race!
noro stripy socks
日本Snap女孩著SOCK it to me骷髏頭長統襪
Sock it to Me Photo Shoot
Sock it to Me Photo Shoot
Button Up Socks, Side
Sock it to Me Photo Shoot
Sock it to Me Photo Shoot
My new socks
8-square socks
Shetland socks
First socks!
sock love
south korea: in search of kimchi #24
shoes away.....
Japan-FZ181050196
Japan 2007  017.jpg

เอามาให้ดูพอหอมปาหอมคอก่อนละกัน เท่าที่ดูมาจะสังเกตได้ว่าแฟชั่นถุงเท้าแต่ละประเทศจะต่างกันตามสภาพอากาศเป็นส่วนใหญ่ เช่น แถบประเทศเมืองหนาวจะใส่เป็นถุงเท้าทอ หนา และยาว ส่วนประเทศแถบร้อนจะนิยมใส่แบบบางและสั้นมากกว่า ใครสนใจแบบไหนก็ลองเลือกดูเป็นแนวทางได้เลยนะครับ

ยินดีต้อนรับสู่ร้าน MARRNY HOUSE

ยินดีต้อนรับสู่  Blog ของร้าน MARRNY HOUSE นะครับ โดย Blog นี้จะมานำเสนอแฟชั่นต่างๆที่กำลังฮิต หรือกำลังฮอตอยู่ตอนนี้นั่นเอง

โดยที่วันนี้แฟชั่นที่เราอยากจะนำเสนอก็คือ แฟชั่นรองเท้า CONVERSE นั่นเอง

ตั้งแต่รุ่นพ่อของเรายันถึงยุคปัจจุบัน ปฎิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่า รองเท้ายี่ห้อ Converse นั้นเป็นที่นิยมเสมอมา ไม่ว่าตั้งแต่สมันของยุคของ วงคาราบาว หรือแม้กระทั่งเรื่อยมา ซึ่งผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Converse นั้น ไม่ว่าจะออกมาเมื่อไหร่ ก็เป็นที่ถูกใจของวัยรุ่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า รองเท้า หมวก ถุงเท้า เสื้อผ้า และอื่นๆอีกมากมาย

converse

วงคาราบาวกับconverse

เรามาดูประวัติคร่าวๆ ของ รองเท้า Converse กันดีกว่าครับ

converse

Converse นั้นเป็นบริษัทผลิตรองเท้าที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา โดยทางบริษัทConverse Rubber Corporation ได้เริ่มเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อปี 1908 ซึ่งผู้ก่อตั้งคนแรกก็คือ มาร์ควิส เอ็ม คอนเวอร์ส โดยร้านแห่งแรกที่เมืองมัลเดน มลรัฐแมสซาชูเซตส์

สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้ร้านแห่งนี้โด่งดังขึ้นนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1917 เมื่อมีการทำรองเท้าผ้าใบรุ่น “All-Star” ออกสู่ตลาด ในปีถัดมา ชาร์ลส์ เอช“ชัค” เทย์เลอร์ บุคคลผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบริษัทแห่งนี้จึงได้เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งตัวชัคนั้นเป็นนักบาสเก็ตบอลผู้เล็งเห็นว่า รองเท้าคอนเวอร์สนั้นจะต้องได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการนักบาสเก็ตบอล ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าร่วมทำงานเป็นเซลส์แมนและเป็นทูตคอยโปรโมตสินค้าให้กับคอนเวอร์ส โดยระหว่างเดินทางไปแข่งขันบาสเก็ตบอลทั่วทั้งสหรัฐฯ ชัคจะแนะนำรองเท้าคอนเวิร์ส์ไปด้วย ทำให้คอนเวอร์สกลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่นักบาสเก็ตบอลแล

ะวัยรุ่นอเมริกัน ด้วยเหตุนี้ ในปี 1923 ทางคอนเวอร์สจึงนำชื่อ Chuck Taylor’s ไปปรากฏร่วมกับโลโก้ของตนที่ติดอยู่บริเวณส่วนที่หุ้มข้อเท้า ทำให้ผู้คนมักเรียกรองเท้านี้ว่า “ชัคส์” ส่วนตัวชัคเองนั้น เขาทำงานให้กับคอนเวอร์สอย่างหนักก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 1969

อย่างไรก็ตาม รองเท้าชัคส์นั้นมีแต่สีดำและสีขาวเป็นเวลานานหลายทศวรรษ แต่เมื่อทีมบาสเก็ตบอลต่างๆ ต้องการที่จะให้รองเท้ามีสีอื่นๆด้วย ทำให้เมื่อปี 1966 คอนเวอร์สจึงต้องผลิตรองเท้าสีอื่นๆ นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นๆในการทำรองเท้าด้วย เช่น หนัง หนังกลับ ไวนีล ป่าน แทนที่จะเป็นผ้าใบเพียงอย่างเดียว

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้น 1980 นั้น คอนเวอร์สได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ปรากฏว่ามีคู่แข่งหน้าใหม่ เช่น ไนกี้ เข้ามาช่วงชิงลูกค้าไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย ทำให้คอนเวอร์สไม่ได้เป็นรองเท้าแห่งวงการเอ็นบีเออีกต่อไป จากเหตุผลนี้บวกกับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดอีกหลายครั้งทำให้คอนเวอร์สต้องเผชิญภาวะล้มละลาย เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2001 ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนมือไป และในปีนั้นเองที่โรงงานแห่งสุดท้ายในสหรัฐฯได้ถูกปิดลงไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจุบันรองเท้าคอนเวอร์สจะถูกผลิตจากประเทศต่างๆในทวีปเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2003 ทางคอนเวอร์สได้รับข้อเสนอของไนกี้ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ด้วยเงินจำนวน 305 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แม้ว่าคอนเวอร์สจะต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่รองเท้าคอนเวอร์ส Chuck Taylor All-Star นั้นถือว่าเป็นรองเท้าที่ขายดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในศตวรรษที่ 21 มีรองเท้ารุ่นดังกล่าวถึง 600 ล้านคู่ที่ถูกขายออกไปทั่วโลก และแม้ว่าปัจจุบัน นักบาสเก็ตบอลจะไม่ใส่คอนเวอร์สกันอีกต่อไปแล้ว แต่คอนเวอร์สยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักดนตรี วัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วโลกแทน

ทั้งนี้ นอกจากรุ่นชัคแล้ว รองเท้าคอนเวอร์สอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ แจ็ก เพอร์เซลล์ ซึ่งผลิตกันมาตั้งแต่ปี 1935 โดยตั้งชื่อตาม แจ็ก เพอร์เซลล์ ยอดนักแบดมินตันและนักเทนนิสที่โด่งดังมากในสมัยนั้น และแจ็กเองก็เป็นผู้ที่ช่วยออกแบบรองเท้าด้วยตัวเองอีกด้วย